วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555


อยากผมสวยสุขภาพดีจริง นี่คือ 5 สิ่งที่ต้องเลี่ยง




ผมสวย



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สาวคนไหนมีผมสวย ก็เหมือนได้พรดี ๆ มาข้อหนึ่งเลยล่ะค่ะ ผมสวยสุขภาพดีจะช่วยเสริมลุคและบุคลิกของคุณให้ดูดีตามไปด้วย และหากคุณต้องการรักษาผมให้สวยสุขภาพดีแบบนี้ต่อไปนาน ๆ ก็ต้องดูแลให้เหมาะ รวมทั้งเลี่ยงสิ่งที่จะมาทำร้ายเส้นผม ซึ่งล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัวกันทั้งนั้นเลยค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าคุณต้องระวังในเรื่องอะไรบ้าง 

        1. การใช้น้ำยาย้อมผมที่เป็นเคมี 

          น้ำยาทำสีผมสูตรเคมี ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่จะทำงานร่วมกันเพื่อแทรกสีลงไปในเส้นผมของคุณ ผมของคุณจะอ่อนแอลงทันทีหลังการทำสีผม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องหลังจากนั้น คุณก็จะสูญเสียสุขภาพที่ดีของเส้นผมไป ทั้งในแง่การงอกยาว และความแข็งแรงของเส้นผม นอกจากนี้สารเคมีในน้ำยาทำสีผมยังอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง กระตุ้นอาการหืดหอบ หรือความผิดปกติทางระบบทางเดินหายใจได้ด้วย 

        2. เครื่องประดับผมที่ดึงรั้งผมมากเกินไป

          เเอคเซสเซอรี่สำหรับเส้นผมบางอย่างก็เป็นอันตรายกับเส้นผมคุณได้ เช่น กิ๊บผมที่ติดแน่นเกินไป ยางรัดผมที่รัดแน่นเกิน หรือยางไม่มีความยืดหยุ่นเท่าที่ควรจะเป็น สิ่งเหล่านี้จะรั้งรากผมให้ตึงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เจ็บหนังศีรษะ และหากใช้ติดต่อกันเป็นประจำ ก็ทำให้เกิดอาการผมร่วงตามมา

        3. การต่อผม

          คุณอาจต้องการผมที่ดูยาวเป็นพิเศษสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น งานพรอม งานแต่งงาน ฯลฯ และเมื่อได้สวยสมใจกับผมยาว ๆ แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะแกะมันออกมาจากผมจริงที่ได้ยึดเกาะเอาไว้ แล้วก็จะได้พบปัญหาว่า ปมที่ได้ต่อผมปลอมเอาไว้กับผมจริงนั้นดึงรั้งเส้นผมมากเกินไปจนทำให้มันหลุดร่วง ผมคุณอาจแหว่งหรือบางเป็นหย่อม ๆ ได้ หลังการต่อผม หากเป็นไปได้ควรหาทรงที่เหมาะกับความยางจริงของผมคุณ หรือใช้คลิปต่อผมแทนดีกว่าค่ะ

        4. สระผมด้วยแชมพูปริมาณเกินพอดี 

          ยามบีบแชมพูเพื่อสระผม ควรกะปริมาณให้พอดีกับความหนาและความยาวของเส้นผมตัวเอง แชมพูที่มากเกินไปเสี่ยงที่จะทำให้คุณล้างออกไม่สะอาด กลายเป็นสารเคมีตกค้างที่เส้นผมและหนังศีรษะ รวมทั้งแชมพูปริมาณมากเกินพอดี ก็ทำให้เส้นผมและหนังศีรษะได้สัมผัสกับสารเคมีมากขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังศีรษะแห้ง และเส้นผมอ่อนแอ 

        5. การใช้สเปรย์จัดแต่งทรงผม 

          แม้สเปรย์จัดแต่งทรงผมจะช่วยให้ผมของคุณอยู่ทรงได้นานตลอดวัน แต่ก็ควรจำกัดการใช้ไม่ให้บ่อยเกินไป เพราะสเปรย์ฉีดผมสามารถเป็นสาเหตุของอาการผมแห้งแตกปลายได้ อีกทั้งสารเคมีจากสเปรย์ยังทำให้ผมอ่อนแอลง นำมาสู่ปัญหาผมร่วงได้ด้วย 


          เรื่องต่าง ๆ ที่เส้นผมของคุณต้องเจอในชีวิตประจำวัน สามารถกลับมาทำร้ายผมของคุณได้โดยไม่คาดคิด หากต้องการรักษาผมให้สวยมีสุขภาพดีไปนาน ๆ ก็ต้องเลี่ยงที่จะทำพฤติกรรมเหล่านี้กับเส้นผม แม้บางประการอาจจะเลี่ยงไปเลยไม่ได้ ก็ขอให้ทำมันให้น้อยครั้งที่สุดแทนนะคะ :)

ผื่นแพ้ขึ้นบนใบหน้า ทำไงให้หาย













ผื่นแพ้ขึ้นบนใบหน้าเป็นประจำ
สาวลิซ่าที่เป็นผื่นแพ้ ขึ้นบนใบหน้าเป็นประจำ ทำไงให้หายลิซ่ามีคำตอบ (Lisa)

          Q : ฉันมีผื่นแพ้เป็นรอยแดง ๆ ขึ้นบนใบหน้าบ่อย ๆ ทำยังไงดีคะ?

          A : คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่า รอยแดง ๆ นั้นคืออะไร จะได้ดำเนินการรักษาอย่างถูกต้อง ส่วนการดูแลผิวหน้าสำหรับสาวที่มีผิวแพ้ง่ายโดยทั่ว ๆ ไปนั้น เราก็มีข้อควรปฎิบัติมาบอกคุณแล้ว

          หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ทั้งในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ความงามต่าง ๆ และในเครื่องดื่มมึนเมาทั้งหลายแหล่ด้วย เพราะแอลกอฮอล์จะยิ่งกระตุ้นให้ผื่นแพ้มีอาการกำเริบหนักขึ้น นอกจากนี้ก็หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารฤิทธิ์แรงต่าง ๆ อย่างเมนทอล เป๊บเปอร์มิ้นท์ หรือน้ำมันยูคาลิปตัส

          ปกป้องผิวจากแสงแดด แสงแดดเป็นอีกหนึ่งตัวการที่ทำให้ผื่นแพ้กำเริบ คุณจึงไม่ควรละเลยในการทาครีมกันแดดเป็นประจำ ไม่ว่าวันนั้นฝนจะตกหรือแดดจะออกขนาดไหน เลือกแบบที่มีค่า SPF สูง ๆ ไว้หน่อยก็ดี และถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปอยู่กลางแดดนาน ๆ

          ปกปิดแต่พองาม อย่าใช้ครีมรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์เนื้อหนา ๆ เพราะนั่นจะทำให้คุณต้องใช้เคลนเซอร์ที่มีฤิทธิ์แรงในการล้างออก หรืออาจต้องเช็ดถูซ้ำไปซ้ำมากว่าจะสะอาดหมดจด ถ้าจะให้ดีเลือกใช้ไพร์มเมอร์โทนสีเขียวเพื่อกลบเกลื่อนรอยแดง ๆ แทน

สูตรพอกหน้า 7 ประเทศ
พอกหน้า


 หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ
       แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) 
       วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี
       แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) 
       วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก
       แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) 
       วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
       แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) 
       วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
       แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) 
       วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
       แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) 
       วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
       แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) 
       วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...
 


ศัลยกรรมเสริมคาง ปรับรูปหน้าให้สวย








ศัลยกรรมเสริมคาง
     


      การศัลยกรรมเสริมคาง (mentoplasty) เป็น อีกหนึ่งการศัลยกรรมเพื่อการปรับแต่งรูปใบหน้า เพราะขนาดของคางเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดมิติของใบหน้าส่วนล่าง ผู้ที่มีคางสั้น คางเล็ก คางไม่มีความนูน หรือคางร่นมาด้านหลัง ทำให้ใบหน้าดูกลม หน้าสั้น ส่วนกลางของใบหน้าดูกว้าง คอดูมีเนื้อเยอะ ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่สวยงาม ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขโดยการเสริมคาง ทำให้สามารถมองเห็นรูปคางได้ชัดเจน ใบหน้าส่วนล่างก็จะดูมีมิติ สมดุลดี

          การทำศัลยกรรมเสริมคางจะช่วยปรับรูปหน้าได้ จากการที่คางหลังการศัลยกรรมแล้วจะนูนขึ้น กว้างขึ้น หรือทำให้หน้าดูยาวขึ้นได้ด้วย 

      ผู้ที่เหมาะสมต่อการทำศัลยกรรมเสริมคาง 

          ใช่ ว่าผู้ที่มีปัญหาคางสั้น-คางหลบ ทุกคนจะสามารถทำศัลยกรรมคางแล้วได้ผลดีเสมอไป ผู้ที่เหมาะสมต่อการทำศัลยกรรมคาง ยังต้องมีโครงสร้างส่วนของฟันและกรามที่มีความแข็งแรง และทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีภูมิต้านทานร่างกายที่ดีพอ เพื่อป้องกันอาการอักเสบหรือติดเชื้อภายหลังการทำศัลยกรรมด้วย

          นอก จากการศัลยกรรมเสริมคางแล้ว ในบางกรณีศัลยแพทย์อาจพิจารณาว่าให้ผู้ป่วยควรปรับแก้ไขรูปหน้าส่วนล่างโดย การฉีดฟิลเลอร์ร่วมด้วย เพื่อให้เห็นรูปคางที่ชัดเจนและสวยงามมากยิ่งขึ้น

      การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรมเสริมคาง 

         กินอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำมาก ๆ

         งดอาหารเสริมหรือยาที่มีคุณสมบัติเรื่องการแข็งตัวของเลือด ทั้งนี้คุณจำเป็นต้องแจ้งรายละเอียดแก่แพทย์ถึงยาและอาหารเสริมรวมทั้ง สมุนไพรที่คุณรับประทานอยู่

         กินอาหารให้พออิ่มก่อนเข้ารับการศัลยกรรม เพราะหลังการศัลยกรรมแล้วมักกินอะไรไม่ได้มาก

         แปรงฟัน บ้วนปากให้สะอาด ก่อนเข้ารับการผ่าตัด

      ขั้นตอนการศัลยกรรมเสริมคาง

          ใน การทำศัลยกรรมเสริมคางแพทย์จะให้ยาสลบแก่ผู้ป่วย จากนั้นกระบวนการผ่าตัดจึงเริ่มต้นขึ้น วัสดุที่ใช้ในการเสริมคางเป็นซิลิโคนแท่ง ลักษณะคล้ายยางที่มีความยืดหยุ่น นำมาเหลาให้ได้รูปทรงที่รับพอดีกับคางของคุณ

          การศัลยกรรมเสริมคางใช้เวลาราว 30-45 นาที แต่หากคุณทำศัลยกรรมเกี่ยวกับใบหน้าอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่นศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า ศัลยกรรมริมฝีปาก ศัลยกรรมตาสองชั้น ฯลฯ เวลาที่ใช้ในการผ่าตัดก็ย่อมมากขึ้น

          ศัลยแพทย์ จะทำการเปิดผิวบริเวณด้านในปาก บริเวณด้านในของริมฝีปากล่าง ตั้งแต่ส่วนของเหงือกลงไปจนถึงส่วนของกระดูกคางด้านหน้า และทำการฝังและยึดซิลิโคนลงในตำแหน่งที่ได้วัดระยะอันเหมาะสมเอาไว้แล้ว จากนั้นจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย ที่จะสลายไปเองได้ภายใน 10 วัน

          แต่ หากเป็นกรณีที่ทำการเสริมคางไปพร้อม ๆ กับศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า แพทย์จะสร้างรอยผ่าตัดที่บริเวณใต้คางเพื่อความสะดวกต่อการศัลยกรรมทั้งสอง ชนิด ซึ่งรอยแผลที่อยู่บริเวณนี้ก็สามารถซ่อนตัวจากสายตาได้เป็นอย่างดี

          นอกจากการศัลยกรรมเสริมคางแล้ว ยังมีการศัลยกรรมเกี่ยวกับคางอีกอย่างหนึ่ง คือ "การศัลยกรรมเลื่อนคาง" (sliding genioplasty หรือ chin advancement) มักทำในกรณีคนที่มีคางสั้นมาก ๆ และร่นไปอยู่ด้านหลังเยอะ ซึ่งหากใช้ซิลิโคนเสริมก็ต้องเป็นซิลิโคนชิ้นใหญ่ และดูไม่เป็นธรรมชาติ ศัลยแพทย์จะทำการเลื่อยกระดูกส่วนคางในแนวนอน และทำการเลื่อนตำแหน่งออกมาด้านหน้าจากนั้นจึงใช้น็อตพิเศษยึดเอาไว้ ก็จะทำให้ใบหน้าที่เคยดูอูมกลม กลับมาได้สัดส่วนและดูเรียวมีมิติมากขึ้น 

      ความเสี่ยงในการศัลยกรรมเสริมคาง

         ริมฝีปากรู้สึกชา เนื่องจากมีแผลผ่าตัดอยู่ด้านในริมฝีปากล่าง ซึ่งอาการจะค่อย ๆ บรรเทาลงเองเมื่อเวลาผ่านไป

         คางและบริเวณรอบ ๆ มีอาการบวม เจ็บ

         การรับความรู้สึกที่บริเวณคางเปลี่ยนไป อาจเป็นได้ทั้งเพียงชั่วคราว หรือเกิดขึ้นถาวร

         ซิลิโคนเลื่อนออกจากตำแหน่ง อันเกิดจากการกระทบกระเทือนที่บริเวณใบหน้า

         เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด

      การพักฟื้นหลังการทำศัลยกรรมเสริมคาง

         ในกรณีที่แผลผ่าตัดอยู่ภายในช่องปาก หลังการผ่าตัดผู้ป่วยควรกินอาหารเหลวหรืออาหารอ่อนที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก เพื่อลดการกระทบกระเทือนของบาดแผล และบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากหรือน้ำเกลือทุกครั้งหลังกินอาหาร เพื่อไม่ให้เศษอาหารไปติดที่ปากแผล หรือเกิดการติดเชื้ออักเสบในกรณีช่องปากไม่สะอาด

         อาการปวดบวมที่บริเวณแผลสามารถเกิดขึ้นได้ใน 3-4 วันหลังการผ่าตัด แต่หากปวดมากผิดปกติควรกลับไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจจ่ายยาแก้ปวดลดอักเสบ รวมถึงจ่ายยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันอาการติดเชื้อด้วย แต่หากเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการผ่าตัด แพทย์อาจพิจารณานำซิลิโคนออกได้

         นอนในท่ายกศีรษะสูง ให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ไม่คั่งอยู่ที่บาดแผล

         งดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนที่บริเวณใบหน้า

         สามารถกลับไปทำกิจกรรมเบา ๆ ตามปกติได้ภายใน 5-7 วัน


          ใคร ที่สนใจกาารศัลยกรรมเสริมคางเพื่อปรับรูปหน้าส่วนล่างให้มีมิติและได้สัด ส่วนมากขึ้น ก็อย่าลืมหาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เปรียบเทียบศึกษาข้อดีข้อเสียของการผ่าตัด และที่สำคัญคือเลือกและปรึกษาศัลยแพทย์ที่เชื่อถือได้ด้วยนะคะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

วิธีแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ทำอย่างไร

     


ปัญหารูขุมขนกว้างทำให้ใบหน้าดูแก่ เกินกว่าวัยที่แท้จริง สาเหตุมักมาจากลักษณะทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สิ่งสกปรกต่างๆ และความมันของผิว ผิวมันเกิดจากการที่รูขุมขนขยายตัวเพื่อระบายไขมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น และจะยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นตามอายุที่เดินไปข้างหน้า ทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอีกด้วย
ผิวสวย

• ใช้หน้ากากกระชับรูขุมขนโฮมเมด โดยการผสมไข่ขาว 2 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 1 ช้อนชา กลิ่นอาจไม่ค่อยน่าพิศมัย แต่ดีกับผิวนะครับ นำเอาส่วนผสมที่คนเข้ากันแล้วพอกลงบนใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้ 7 - 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น หลังจากนั้นนำแตงกวาสไลด์สด หรือที่ฝานเก็บใส่ภาชนะปิดฝามิดชิดในตู้เย็น วางลงบนใบหน้า ซึ่งแตงกวาจะช่วยกระชับรูขุมขนด้วยอีกแรง

• รูขุมขนที่กว้าง อัน เกิดจากการอุดตันของไขมัน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง ควรลดและหลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารทอด คุ้กกี้ สแน็ค อาหารที่มีไขมันแปรรูปไม่อิ่มตัว เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลและโซดา และหันมารับประทานอาหารที่สดใหม่ เช่น ผักสด ปลา โปรตีนที่ไร้ไขมัน เช่น เนื้อไก่ส่วนหน้าอก และสิ่งสำคัญ ต้องดื่มมากมากๆ เพราะน้ำจะช่วยชำระล้างสารพิษ และสิ่งสกปรกต่างๆ ออกจากร่างกายผ่านระบบการขับถ่าย
• ใช้เทคนิคการแต่งหน้าในการอำพรางรูขุมขนที่กว้างได้ เช่น ใช้รองพื้นออยด์ฟรีบาง ๆ โดยผัดลงไปตรงจุดส่วนที่มีรูขุมขนกว้าง ไม่ควรใช้รองพื้นทั่วทั้งหน้า หรือรองพื้นหนา ๆ เพราะจะทำให้มีสารไปอุดตันรูขุมขน และมีแต่จะทำให้รูขุมขนมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรรองพื้นเฉพาะด้านข้างของจมูก หน้าผาก คาง ระหว่างวันก็ให้ใช้กระดาษซับมัน หากมีความจำเป็นต้องแต่งหน้าไปทำงาน เมื่อกลับถึงบ้านก็ควรล้างออกทันที หากต้องออกไปรับประทานอาหารเย็นหรือไปช้อปปิ้งต่อ ค่อยแต่งใหม่
กระชับรูขุมขนด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์
• การทำเลเซอร์ ประเภท YAG โดยจะใช้สารดูดซึมแสงที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบทาทิ้งไว้ 5 - 15 นาที ก่อนใช้แสงเลเซอร์ เพื่อการดูดซึมและรับแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะได้ดีขึ้น กระตุ้นการเกิดคอลลาเจนใหม่ใต้ผิวหน้า ทำให้มีการผลัดเซลล์ผิวใหม่ รูขุมขนบนใบหน้าเล็กลง สะอาดและกระชับขึ้น นอกจากนี้ยังจะทำให้ได้ผิวที่เรียบเนียนใส ไม่มีแผลจากการใช้เลเซอร์ สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติทันที.
• ใช้สครับน้ำตาลขัดผิวที่มีคุณภาพ มีข้อมูลหลักฐานยืนยันว่าการใช้น้ำตาลขัดผิวมีมานานเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว น้ำตาลจะให้กรดอัลฟาไฮดรอกไซด์ธรรมชาติ สามารถทำให้ริ้วรอยเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนหดกระชับ ขจัดสิ่งสกปรก สารพิษ สิวเสี้ยนออกไปอย่างอ่อนโยน รวมทั้งช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้อีกด้วย สครับน้ำตาลขัดผิวที่มีคุณภาพบางยี่ห้อจะมีส่วนผสมจากธรรมชาติกว่า 10ชนิด มีทั้งสารให้ความชุ่มชื้นที่จำเป็นต่อผิวพรรณ และสารจากผลไม้ประเภทไซตรัส (ส้ม มะนาว เป็นต้น) เพื่อการกระชับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ควรสครับหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวบอบบางแพ้ง่าย ทำเดือนละครั้งก็พอครับ


• รูขุมขนกว้างที่ เกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจนใต้ผิวหนังนั้น มีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยเพิ่มระดับของคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยปกป้องรูขุมขนไม่ให้กว้างขึ้นได้ อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีและเรตินอล ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิค เป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้ว่ากรดซาลิไซลิคจะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง แต่มักจะทำให้เกิดผิวแห้งและเกิดอาการระคายเคือง จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง



ที่มา http://www.chicministry.com/default.php

• หยุดใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หยาบกระด้าง ซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์, เพรอกไซด์ และกรดบางชนิด หยุดใช้แอสทริงเจนท์โทนเนอร์ที่มีความกระด้างต่อผิวหน้าที่มีรูขุมขนกว้าง การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะทำให้เส้นเลือดฝอยขยาย และกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ๆ หดกระชับทำให้รุขุมขนดูเล็กลง แต่จะเป็นเพียงชั่วคราวในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะแอสทริงเจนท์โทนเนอร์จริง ๆ แล้วจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตความมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้ขนาดของรูขุมขนขยายใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำไป


สุดยอด! นักวิจัย ม.สุรนารี ผลิตชุดอักษรเบรลล์บนคอมพิวเตอร์สำเร็จ




สุดยอด! นักวิจัย ม.สุรนารี ผลิตชุดอักษรเบรลล์บนคอมพิวเตอร์สำเร็จ
 


          สุดยอด! นักวิจัย ม.เทคโนโลยีสุรนารี ผลิตชุดแสดงผลอักษรเบรลล์บนคอมพิวเตอร์ ด้วยแสงซินโครตรอนได้เป็นที่แรกของโลก ถูกกว่านำเข้าจากต่างชาติถึง 3 แสนบาท
          วันนี้ (17 ธันวาคม) ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน คณะอาจารย์ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ประกาศแสดงผลงานการผลิต ชุดแสดงผลอักษรเบรลล์สำหรับผู้พิการทางสายตา ในการอ่านข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นผลสำเร็จ
          โดยนายรุ่งเรือง พัฒนากุล นักวิทยาศาสตร์ระบบลำเลียงแสง สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้วทีมวิจัยสามารถผลิตชุดแสดงผลอักษรเบรลล์จิ๋วขนาด 1 เซลล์ ได้แล้ว มีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 1 บาท แต่มีข้อจำกัดในการใช้งาน จึงได้พัฒนาชุดแสดงผลอักษรเบรลล์จิ๋วขนาด 3 เซลล์ ด้วยแสงซินโครตรอนขึ้นมา นับว่าเป็นการผลิตครั้งแรกและมีที่เดียวในโลก
          นายรุ่งเรือง อธิบายต่อไปว่า การใช้แสงซินโครตรอนผลิตชุดแสดงผลอักษรเบรลล์นั้น จะทำให้ได้ชิ้นส่วนจำนวนมาก ประกอบเป็นชุดแสดงผลอักษรเบรลล์ต่อไป นอกจากนี้ ยังทำให้มีราคาต้นทุนที่ถูกว่าต่างประเทศอีกด้วย โดยงบประมาณจัดทำแต่ละเครื่องอยู่ที่ 1.5 แสนบาท แต่ถ้าทำเพื่อการค้า จะเหลือไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อเครื่องเท่านั้น ถือว่าถูกกว่าการนำเข้าประมาณ 3 แสนบาทต่อเครื่อง

          ทั้งนี้ ทีมงานวางเป้าหมายว่าจะพัฒนาต่อยอดชุดแสดงผลอักษรเบรลล์ 10 เซลล์ต่อไป คาดว่าน่าจะสำเร็จในกลางปี 2556 แล้วถ้าหากได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ทีมวิจัยก็จะทำให้ชุดแสดงผลอักษรเบรลล์ สามารถใช้กับแท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน ได้



หาม‘ป๋อ’เข้าร.พ.ไข้สูง แพทย์ชี้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่


 วันที่ 19 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมาดารานักแสดงหนุ่มชื่อดัง ‘ป๋อ’ ณัฐวุฒิ สกิดใจ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังมีอาการไข้ขึ้นสูง และไอจนหมดเเรง ล่าสุด แพทย์ได้เจาะเลือดแล้วนำไปตรวจพบว่า ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้ แพทย์ยังคงต้องรอดูอาการต่อไป เนื่องจากอาจจะเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยมีภรรยาสาว ‘เอ๋’ พรทิพย์ คอยดูแลและให้กำลังใจ

 เบื้องต้นแพทย์สั่งงดเยี่ยม และห้ามไม่ให้สาว ‘เอ๋’ พรทิพย์ อยู่เฝ้าไข้ เนื่องจากตัวเธอเองก็เป็นหวัด และกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงเกรงว่าอาจติดเชื้อจากสามีได้


 ล่าสุดวันที่ 19 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังพระเอกหนุ่มถึงอาการป่วย เจ้าตัวเผยว่า ตอนนี้โดยรวมอาการดีขึ้นแล้ว ตนกำลังรอผลตรวจอยู่และหาสาเหตุของอาการว่าเกิดจากอะไร แต่หมอบอกว่าอาจจะไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ 

 “ที่แอดมิตเข้า ร.พ. กระทันหัน เพราะเมื่อคืน(18 ธ.ค.) เวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ผมมีอาการปวดหัวจนไข้ขึ้นสูง มีอาการไออย่างหนัก และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก คิดว่าไม่ไหว จึงตัดสินใจขับรถมาร.พ. แต่อาการตอนนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเยอะเลยครับ คุณหมอบอกว่าให้รอดูอาการอีก 1 วัน พรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะกลับบ้านได้ครับ”

 ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่าอาการป่วยครั้งนี้คิดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร พระเอกหนุ่มเผยว่า เมื่อวาน(18 ธ.ค.) ช่วงเช้าตนไปร่วมงานบวชของพระซี-ศิวัฒน์ พอช่วงบ่ายไปอัดรายการวิกสามยามบ่าย อาจจะเป็นเพราะตนอัดรายการต่อเนื่องและไปติดเชื้อจากคนอื่นมา หรือไม่ก็เป็นเพราะช่วงนี้คนป่วยกันเยอะ ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อย

 ผู้สื่อข่าวสอบถามต่อไปว่า ‘เอ๋’พรทิพย์ สกิดใจ ภรรยาสาวที่กำลังตั้งท้องได้ 5 เดือนมาเฝ้าไข้หรือเปล่า พระเอกหนุ่มเผยว่า ทางคุณหมอไม่ให้เอ๋เฝ้า เพราะยังไม่ทราบว่าไวรัสที่กำลังรอผลตรวจมีเชื้ออะไรหรือเปล่า และก็กลัวว่าลูกในท้องจะติดเชื้อ เลยไม่ได้ให้เอ๋มาเฝ้า 

 “ด้วยความที่ครอบครัวของเรามีคนน้อย ทางครอบครัวผมส่วนใหญ่ก็อยู่ต่างจังหวัดกันหมด เลยไม่ได้บอกให้ใครมาเฝ้าไข้ เนื่องจากตอนนั้นมันฉุกเฉินและกลางดึกด้วย ตอนนี้ก็นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียว และอยากใช้เวลาตรงนี้ในการนอนพักผ่อนให้อาการดีขึ้น เลยไม่ได้บอกใครหรือลงรายละเอียดว่าที่โรงพยาบาลไหน”

 ตนขอบคุณทุกๆ คนที่เป็นห่วง ตอนนี้ตนอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ก็อยู่ในความดูแลของคุณหมอ อาการน่าจะดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์หน่อย 

 “ผมอยากบอกทุกคนว่าช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง และคนก็เป็นหวัดกันเยอะ อยากให้ไปตรวจสุขภาพหรือฉีดวัคซีนกัน เพราะปกติแล้วเราจะไปฉีดวัคซีนป้องกันหวัดปีละครั้ง แต่ปีนี้ไม่มีเวลาเลยไม่ได้ไปฉีด อย่างไรก็ฝากให้ทุกคนดูแลสุขภาพกันด้วยครับ ขอบคุณมากๆ ที่เป็นห่วง เดี๋ยวพรุ่งนี้หายแล้วจะอัพรูปลงอินสตาแกรมให้ดูความคืบหน้านะครับ” พระเอกหนุ่มกล่าว












โดนัท ชี้เรื่องปกติ-อนันดาชอบเอารูปคู่ไปลงอินสตาแกรม

 เมื่อบ่ายวันที่ 18 ธ.ค. ที่ชั้น 5 เซ็ลทรัล บางนา มีการจัดงาน “Food Balcony New Lifestyle Dining Destination in Bangkok @ CentralPlaza Bangna” โดยภายในงาน ‘โดนัท’ มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล นักแสดงสาวมากความสามารถได้มาร่วมงานด้วย หลังจากเสร็จงาน เจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ ‘อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม’ พระเอกหนุ่มคนสนิทได้โพสต์รูปหวานๆ ลงอินสตาแกรมว่า ถือเป็นเรื่องปกติ เขาลงรูปแบบคู่กับตนมาหลายรูปแล้ว ไม่มีอะไรก็เล่นแกล้งกัน

 “ล่าสุดไปถ่ายแฟชั่นนิตยสารดิฉันด้วยกัน เพิ่งวางแผงค่ะ ที่ยอมถ่ายคู่ เพราะว่ามันเป็นงาน แล้วเราก็มีคุยกับหลายคนเหมือนกัน แต่ทีนี้จังหวะคอนเซ็ปต์ ตัวหนังสือเอง และช่างภาพก็คุ้นเคย ด้วยว่าเราทำงานด้วยกันบ่อย ก็ตกลงค่ะ”

 นักแสดงสาวเผยต่อว่าที่ผ่านมาก็มีคนติดต่อให้ถ่ายคู่กันเยอะเพราะอยากให้ตนทำงานร่วมกันกับพระเอกหนุ่มแต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับคอนเซ็ปต์ และช่วงนี้อนันดางานยุ่งมาก

 “ตอนนี้ถ้าถามเรื่องความสัมพันธ์ของเราเอาจริงๆนะ โดนัทก็ไม่ค่อนชินสักเท่าไร เพราะว่ามันต้องตอบกันทุกครั้ง แต่ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม โดนัทขอไม่ลงรายละเอียดมาก ขอให้เป็นอย่างนี้ไปก่อนเรื่อยๆ ค่ะ”

 นักแสดงสาวเผยต่อไปว่า พอมีประเด็นข่าวก็คุยกับ ‘อนันดา’ บ้าง แต่ว่าไม่ถึงกับคุยกันว่าจะต้องตอบว่าอย่างไรกันบ้าง ตนยังไม่อยากถูกแรงกดดัน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โดนกดดัน จนรู้สึกว่าใครก็ได้ช่วยด้วย แต่ตอนนี้รู้สึกสบายขึ้น ไม่ได้กังวนอะไร ตอบอะไรได้ก็ตอบ

 “ปีใหม่นี้ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันค่ะ เราแยกกันไป อนันดาเขาไปปายกับเพื่อน โดนัทมีทริปกับเขาสั้นๆ ช่วงคริสต์มาสค่ะ ไปไหนไม่บอก(หัวเราะ) ไปกับเพื่อนด้วยเหมือนกันค่ะ ส่วนปีใหม่ก็แยก โดนัทอยู่กรุงเทพฯค่ะ” 

 ผู้สื่อข่าวสอบถามต่อถึงเรื่องที่ทั้งคู่ไปผูกข้อมือที่ลาว นักแสดงสาวเผยว่า งานนั้นเป็นงานหลวงพระบาง เฟสติวัล คนที่จัดงานเป็นเพื่อนของตนกับอนันดาตนไปในฐานะเพื่อนและเซเล็บเบอร์ตี้ของงาน 

 “เขาก็ผูกข้อมือให้กับทุกคนค่ะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เป็นประเพณีของที่นั่นค่ะ ช่วงที่ไปลาวไม่ได้ไปเจอคุณแม่อนันดา เพราะคุณแม่ของเขาอยู่กรุงเทพฯ และได้เจอกันปกติอยู่แล้วค่ะ”

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555




                      เทคนิคเรียนเก่งขั้นเทพ



เทคนิคเรียนเก่งขั้นเทพ...
เคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับ วิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำ ความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำหากท่านสามารถจับหลักนี้ ได้ท่านย่อมพบกับความสำเร็จในการเล่าเรียนศึกษาอย่างแน่นอนขอให้โชคดีทุก ๆ คนนะครับ
1.เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อย ๆ คือเราจะ หยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2.จากนั้นให้ปิดหนังสือ ! แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟัง คือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3.หากตอนใดเราอ่านแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4.หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไป ถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตร ต่าง ๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลา เปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นจึงขอสรุปเทคนิคง่าย ๆ สั้น ๆ ดังต่อไปนี้ :-
ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริง ๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ
อ่านหนังสือด้วยวิธีการนี้จะทำให้เราเข้าใจบทเรียนได้ทั้งเล่ม ไม่ลืมเลย..



อ่านแล้วเข้าใจ เข้าใจแล้วจด จดแล้วจำ จำแล้วทำให้ได้






            นี่เป็นปรัชญาที่ใช้กันมานาน บางคนก็อาจจะรู้อยู่แล้ว ในการที่เราจะจำเนื้อหาของเรื่องที่เรียนไปได้แม่น มันต้องเกิดจากความเข้าใจในเนื้อหานั้นก่อน ไม่ใช่สักแต่ว่าจำ จำอย่างเดียว จำแบบไม่เข้าใจอะไรเลย การจำแบบนี้เป็นการจดจำระยะสั้น และไม่สามารถนำไปใช้ในการทำข้อสอบแบบวิเคราะห์ได้ เพราะในขั้นตอนการจำ ไม่มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เป็นไป เลยทำให้ไม่รู้หลักเหตุและผล ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น หากข้อสอบออกมาไม่ตรงกับที่จำไป ก็จบเห่น่ะสิ

 การเขียนหรือการจดโน้ต

เป็นวิธีที่จะทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อนเขียนเราต้องเข้าใจอยู่แล้วว่าจะเขียนอะไรลงไป อย่าลอกตามหนังสือไปทั้งดุ้น และอย่าจดแบบให้มันเสร็จ ๆ ไป หรือจดแบบให้มีตามเพื่อน (เป็นกระแสนิยม) เพราะมันจะไม่ได้ผลอะไรเลย ควรจะสรุปประมวลออกมาเป็นเนื้อความ ตามที่เราเข้าใจ ซึ่งต้องเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย อาจตรวจสอบโดยการผลัดกันตอบคำถามกับเพื่อน หรือถามครูอาจารย์ ดังนั้นอย่าขี้เกียจเขียนเลย เขียนเอง อ่านเอง ผลที่ได้ก็อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้นแหละ

 คราวนี้ก็มาถึงการท่องจำ

            ส่วนใหญ่เมื่อเรารู้เรื่อง เราก็จะจำบางส่วนของเนื้อหาได้แล้ว นอกจากบางวิชา เช่น ชีวะฯ สังคม ที่เป็นวิชาท่องจำซะส่วนใหญ่ อาจต้องมีการมาท่องจำเพิ่มเติม การอ่านออกเสียงดัง ๆ ก็ช่วยให้จำดีขึ้น แต่ไม่ควรจะรบกวนผู้อื่น (มิฉะนั้นอาจจะได้รับสิ่งไม่พึงปรารถนา) การจำศัพท์ภาษาอังกฤษ อาจใช้วิธีเขียนใส่กระดาษแล้วแปะตามข้างฝาที่เรามองเห็นหรือผ่านตาเป็นประจำ เช่น ฝาข้างที่นอน ประตูห้องสุขา (ที่บ้านของตัวเองนะ) ตามที่ที่เราต้องเห็นทุกวัน อ้อ... ประตูของตู้เย็นก็ดีนะ เพราะเปิดออกจะบ่อย ก็หันมาเหลียวแลศัพท์ที่ตัวเองแปะไว้บ้าง เห็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เข้าสมอง

 เวลาที่ดีสำหรับการอ่าน

            เคยมีคนบอกว่าเวลาที่ดีที่สุด คือ ตอนเช้า เพราะร่างกายและสมองของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีการจัดระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้พร้อมกับการใส่ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไป อันนี้เป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่ตื่นเช้าไม่ไหว เวลาดึก ๆ ที่เงียบ ๆ ก็ได้ เพราะความเงียบทำให้สมองเราสามารถคิดสิ่งต่างๆ ได้ดี แต่อาจจะไม่เท่าตอนเช้า เพราะสมองเราต้องเหนื่อยจากการเรียนมาแล้วทั้งวัน บางคนยังมีการเรียนพิเศษตอนเย็นอีก การอ่านหนังสือตอนกลางคืน ควรจะอ่านเท่าที่ร่างกายรับได้ พอเริ่มง่วงสัก 5 ทุ่มก็ควรเข้านอน แล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 3 ตี 4 ตี 5 แนะนำให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่ต้องตื่นไปสักครึ่งชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้มีเวลาเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก่อนสักพัก ถึงค่อยลุกไปล้างหน้าล้างตา มานั่งอ่าน ขอย้ำว่าควรทำให้ตัวเองตื่นเต็มที่ก่อนจะอ่าน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวก็หลับคาหนังสืออีกจนได้

 เวลาที่ไม่เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือเรียนเลย

            คือ ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จอิ่ม ๆ เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า... พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน หรือเปล่า เพราะช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่คนเรามีความง่วงนอน อ่านไปก็หลับ ยิ่งหนังสือเรียนด้วย และไม่ควรนอนอ่านหนังสือ โดยเฉพาะบนเตียง ขอบอกว่าหลับแน่ ๆ ไม่ใช่อ่านนิยายนี่ มันจะน่าติดตาม จนอยากอ่านให้จบ

            การอ่านหนังสือ ควรจะอ่านในสถานที่ที่สงบเงียบ และสมองของเราต้องพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด




                ผลกระทบของการพักผ่อนไม่เพียงพอ




5 ผลกระทบของการพักผ่อนไม่เพียงพอ



          ถึงเราจะอยากนอนหลับให้เต็มอิ่มแค่ไหน แต่บางครั้งการนอนพักผ่อนให้มากพอ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราทำได้ทุกวัน เพราะบางครั้งเราก็ต้องยุ่งกับการทำงานที่น่าปวดหัว หรือออกไปเที่ยวปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ้าง เลยทำให้เราไม่ได้นอนมากพออย่างที่ใจคิด ทั้งยังทำให้สุขภาพย่ำแย่ไปด้วย

          ดังนั้น กระปุกดอทคอมจึงได้นำอาการหลัก ๆ ที่คนมักจะเป็นกันหลังนอนพักผ่อนไม่พอมาบอกกล่าวให้ได้ทราบกัน พร้อมด้วยเคล็ดลับดี ๆ ในการดูแลตัวเอง เพื่อเป็นการทดแทนการพักผ่อนมาฝาก ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ลองไปอ่านกันเลยคร้าบ

          1. ภูมิคุ้มกันต่ำลง

          ช่วงที่คุณนอนไม่พอ รู้สึกมั้ยว่าคุณจะป่วยได้ง่ายกว่าเคย นั่นก็เพราะคุณมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงนั่นเอง ทางที่ดี คุณควรรับประทาน วิตามิน อี จากอาหารจำพวกถั่วและธัญพืช เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของตัวเอง เป็นการทดแทนส่วนที่ขาดหายไป คุณจะได้แข็งแรงพร้อมเผชิญวันใหม่ได้ทุกวัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทานมากจนเกินไปนัก เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซับ วิตามิน เอได้น้อยลงจนตาพร่ามัวได้เหมือนกัน แค่ทานทดแทนในช่วงที่คุณพักผ่อนไม่พอ ก็ใช้ได้แล้ว

          2. หิวมากขึ้นอีก

          รู้สึกไหมว่าวันไหนที่คุณนอนไม่พอ คุณจะรู้สึกหิวมากขึ้นอีก แถมยังหงุดหงิดโมโหหิวจนแทบจะพาลใส่เพื่อน ๆ เลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้เป็นเพราะเวลาที่คุณพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกหิวอย่าง เลปติน และ เกรลิน มากผิดปกติ คุณจึงต้องการอาหารที่มีโปรตีนมาก ๆ มาชดเชยความต้องการของร่างกาย ดังนั้น แค่ขนมปังชิ้นเล็ก ๆ คงไม่พอแน่ ๆ หันมาจัดหนักด้วยอาหารจานใหญ่ไปเลยน่าจะดีกว่า

          3. สมองทำงานไม่เต็มที่

          เวลาที่เรานอนไม่พอเราจะรู้สึกเซื่องซึม เฉื่อยชาไปทั้งวัน พลอยทำให้ทำงานผิด ๆ ถูก ๆ หรือเผลอทำอะไรซุ่มซ่ามไปโดยไม่รู้ตัว คุณจึงควรหาขนมขบเคี้ยวมาทานเรื่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่ควรเลือกทานขนมขบเคี้ยวที่มีแต่ผงชูรสและน้ำตาล เพราะจะทำให้คุณอ้วนขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว แต่ควรเลือกทานพวกถั่วที่ทำให้คุณเพลินได้ไม่แพ้กัน แต่มีพลังงานมากและไม่ทำให้น้ำหนักพุ่งพรวดจะดีกว่า

          4. ร่างกายฟื้นตัวได้ช้าลง

          ถ้าหากคุณต้องพักรักษาตัวหลังบาดจ็บ ควรพยายามนอนหลับพักผ่อนให้มาก ๆ เพราะร่างกายจะผลิตโกรทฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและทำให้ร่างกายเจริญเติบโตออกมาในช่วงเวลาที่เราหลับนี่แหละ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีเวลานอนมากพอ ก็ควรทานอาหารที่มีกรดอะมิโนมาก ๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตโกรทฮอร์โมนแทน ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

          5. ความต้องการทางเพศลดลง

          เวลาที่เรานอนพักผ่อนไม่มากพอ จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายสูญเสียความสมดุล จนทำให้ความต้องการทางเพศลดลงในที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณต้องการกระตุ้นความต้องการส่วนนี้ ควรหันมาทาน อะโวคาโด ที่มีวิตามินบี 6 ก่อนนอน เพื่อเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนเพศชายในตัวของคุณ





เทคนิคพิชิต  รักแรกเริ่ม
เทคนิคพิชิต "รักแรกเริ่ม"
มีความรักแล้ว ก็ควรที่จะดูแลรักษาความสัมพันธ์นั้นให้งอกงาม และยืดอายุความหหวานให้ยาวนานที่สุด เริ่มต้นดี ปลายทางก็ราบรื่น ถนอมความสัมพันธ์แรกเริ่ม โดยให้ความสำคัญกับการรู้จักเว้นวรรคบ้าง เรียนรู้เทคนิคพิชิตรักไปด้วย เพื่อรู้เท่าทันความรัก และรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างถูกวิธี

1. เลิกแสดงความเป็น “เจ้าข้าวเจ้าของ”

อย่างที่มักคุ้นชินกันบ่อย ๆ กับคำว่า ความรักไม่ใช่การได้ครอบครอง และก็การเป็นเจ้าของใครสักคน แต่มันคือ การที่เรามีคนที่สามารถแชร์ความรู้สึกกันได้ในระดับที่เกินกว่าเพื่อน ฉะนั้น ให้คุณสาว ๆ ระวังกับพฤติกรรมที่มักจะแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างชัดเจน ในช่วงระหว่างที่เพิ่งคบหากันใหม่ ๆ ควรระวังเป็นอย่างมาก อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น จะเป็นสัญญาณที่ดีที่สุด

2. ไม่ต้องโทรหากันบ่อยขนาดนั้นก็ได้

คบกันใหม่ ๆ ก็ย่อมคิดถึงกันมากเกินธรรมดา แต่ขอให้วางตัวนิดนึง อย่าแสดงให้เขาเห็นมากนักว่าเราอยากโทรหาเขามากแค่ไหน เพราะมันจะกลายเป็นความน่าเบื่อ โทรหาได้ แต่ให้ลดความถี่ลง ช่วงเวลาที่โทรหาก็สำคัญ ให้ดูนิดนึงว่าเป็นเวลางานหรือเปล่า ดึกไปไหม หรือเช้าเกินไปไหม ให้รักษาความพอดีเอาไว้ สิ่งนี้จะช่วยให้ชีวิตรักอยู่รอดและปลอดภัยด้วย

3. อย่ายอมให้ความเกรงใจทำลายความเป็นตัวคุณ

เพื่อความสบายใจในการคบกันอย่างเปิดเผยต่อไป ให้คิดเสมอว่าความเป็นตัวของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น หากคิดที่จะเรียนรู้กันและกันให้มาก และเกิดความสบายใจด้วยแล้ว ควรคบกันอย่างที่ตัวเองเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเองหรืออีกฝ่ายสู่สิ่งที่ไม่ใช่ เพราะเพียงแค่เกรงใจ หรือต้องการเอาใจอีกฝ่าย เพราะสิ่งนี้ไม่ถาวร คุณน่าจะรู้ดีที่สุด

4. เว้นพื้นที่ว่างไว้ให้กันบ้าง

คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวไว้ให้ตัวเองในยามมีปัญหา ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนรัก เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าพยายามก้าวล้ำอณาจักรของเขาให้มากเกินไป อย่างเช่น เข้าไปตีสนิทกับกลุ่มเพื่อนของเขาจนทำให้เขาไม่ไว้วางใจที่จะคุยกับเพื่อนในเรื่องบางเรื่อง แรก ๆ อาจจะเป็นการดีที่เราเข้ากับเพื่อนของเขาได้ แต่ภายหลังเมื่อเขาต้องการที่ปรึกษาปัญหาใจ หรือใด ๆ ที่เกี่ยวกับเรา เขาอาจจะรู้สึกอึดอัด และไม่กล้าระบายให้เพื่อนฟัง

5. รักษาสมดุล

เริ่มต้นยังไง ก็ขอให้รักษาสมดุลตรงนั้นไว้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการแต่งตัว หรือเรื่องการดูแลเอาใจใส่ถามไถ่ถึงครอบครัวเขา หากเราเริ่มต้นแบบแต่งตัวจัด ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ ไม่ใช่คบกันใหม่ ๆ ก็จัดหนัก พอคบกันไปสักพัก ก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้ดูโทรม ทางที่ดี เปิดเผยความเป็นตัวตนของคุณตั้งแต่ครั้งแรกดีที่สุด (ถึงมันจะยากไปนิดนึง) ส่วนเรื่องการถามไถ่ครอบครัวของเขานั้น ให้พยายามถามเขาบ้างเป็นบางครั้ง แต่อาจจะไม่ใช่ทุกวันก็ได้ เพื่อให้เขารู้ว่าเราให้ความสนใจในระดับหนึ่ง

6. อย่าทำตัวแบบขาดเขาไม่ได้

มีคนรู้ใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรามีเงาเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น อย่าพยายามทำตัวติดกันมากนัก หากิจกรรมที่ต้องทำแยกกับเขาบ้าง แสดงให้เขาเห็นบ้างว่าเราไม่ได้มีเวลาว่างเกาะติดเขาตลอดเวลาเป็นข่าวด่วน และเราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนที่เคยทำมา ไปดูหนังคนเดียว หรือกับเพื่อนกลุ่มอื่นได้ ไปซื้อของคนเดียวได้โดยไม่ต้องง้อเขาให้มาช่วยถือของ (ยกเว้นเขาอาสา) ทำเช่นนี้เป็นบางครั้ง บางคราว เพื่อเป็นการเว้นวรรค ให้กันและกัน
อย่าลืมนะคะว่า แม้จะเพิ่งคบกันใหม่ ๆ หรือคบกันได้สักพักแล้วก็ตาม การเอาใจใส่กันอย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นที่สิ่งควรเก็บรักษาไว้ และปฏิบัติให้ได้ตลอด เพราะถ้าเราคงมีสิ่งนี้ไม่ว่ารักไหน ๆ ของคุณก็จะราบรื่น และยาวนาน หากหมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ยให้กับต้นรักอย่างสม่ำเสมอ