วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555




                      เทคนิคเรียนเก่งขั้นเทพ



เทคนิคเรียนเก่งขั้นเทพ...
เคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับ วิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำ ความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำหากท่านสามารถจับหลักนี้ ได้ท่านย่อมพบกับความสำเร็จในการเล่าเรียนศึกษาอย่างแน่นอนขอให้โชคดีทุก ๆ คนนะครับ
1.เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อย ๆ คือเราจะ หยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2.จากนั้นให้ปิดหนังสือ ! แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟัง คือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3.หากตอนใดเราอ่านแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4.หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไป ถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตร ต่าง ๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลา เปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นจึงขอสรุปเทคนิคง่าย ๆ สั้น ๆ ดังต่อไปนี้ :-
ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริง ๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ
อ่านหนังสือด้วยวิธีการนี้จะทำให้เราเข้าใจบทเรียนได้ทั้งเล่ม ไม่ลืมเลย..



อ่านแล้วเข้าใจ เข้าใจแล้วจด จดแล้วจำ จำแล้วทำให้ได้






            นี่เป็นปรัชญาที่ใช้กันมานาน บางคนก็อาจจะรู้อยู่แล้ว ในการที่เราจะจำเนื้อหาของเรื่องที่เรียนไปได้แม่น มันต้องเกิดจากความเข้าใจในเนื้อหานั้นก่อน ไม่ใช่สักแต่ว่าจำ จำอย่างเดียว จำแบบไม่เข้าใจอะไรเลย การจำแบบนี้เป็นการจดจำระยะสั้น และไม่สามารถนำไปใช้ในการทำข้อสอบแบบวิเคราะห์ได้ เพราะในขั้นตอนการจำ ไม่มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เป็นไป เลยทำให้ไม่รู้หลักเหตุและผล ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น หากข้อสอบออกมาไม่ตรงกับที่จำไป ก็จบเห่น่ะสิ

 การเขียนหรือการจดโน้ต

เป็นวิธีที่จะทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อนเขียนเราต้องเข้าใจอยู่แล้วว่าจะเขียนอะไรลงไป อย่าลอกตามหนังสือไปทั้งดุ้น และอย่าจดแบบให้มันเสร็จ ๆ ไป หรือจดแบบให้มีตามเพื่อน (เป็นกระแสนิยม) เพราะมันจะไม่ได้ผลอะไรเลย ควรจะสรุปประมวลออกมาเป็นเนื้อความ ตามที่เราเข้าใจ ซึ่งต้องเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย อาจตรวจสอบโดยการผลัดกันตอบคำถามกับเพื่อน หรือถามครูอาจารย์ ดังนั้นอย่าขี้เกียจเขียนเลย เขียนเอง อ่านเอง ผลที่ได้ก็อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้นแหละ

 คราวนี้ก็มาถึงการท่องจำ

            ส่วนใหญ่เมื่อเรารู้เรื่อง เราก็จะจำบางส่วนของเนื้อหาได้แล้ว นอกจากบางวิชา เช่น ชีวะฯ สังคม ที่เป็นวิชาท่องจำซะส่วนใหญ่ อาจต้องมีการมาท่องจำเพิ่มเติม การอ่านออกเสียงดัง ๆ ก็ช่วยให้จำดีขึ้น แต่ไม่ควรจะรบกวนผู้อื่น (มิฉะนั้นอาจจะได้รับสิ่งไม่พึงปรารถนา) การจำศัพท์ภาษาอังกฤษ อาจใช้วิธีเขียนใส่กระดาษแล้วแปะตามข้างฝาที่เรามองเห็นหรือผ่านตาเป็นประจำ เช่น ฝาข้างที่นอน ประตูห้องสุขา (ที่บ้านของตัวเองนะ) ตามที่ที่เราต้องเห็นทุกวัน อ้อ... ประตูของตู้เย็นก็ดีนะ เพราะเปิดออกจะบ่อย ก็หันมาเหลียวแลศัพท์ที่ตัวเองแปะไว้บ้าง เห็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เข้าสมอง

 เวลาที่ดีสำหรับการอ่าน

            เคยมีคนบอกว่าเวลาที่ดีที่สุด คือ ตอนเช้า เพราะร่างกายและสมองของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีการจัดระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้พร้อมกับการใส่ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไป อันนี้เป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่ตื่นเช้าไม่ไหว เวลาดึก ๆ ที่เงียบ ๆ ก็ได้ เพราะความเงียบทำให้สมองเราสามารถคิดสิ่งต่างๆ ได้ดี แต่อาจจะไม่เท่าตอนเช้า เพราะสมองเราต้องเหนื่อยจากการเรียนมาแล้วทั้งวัน บางคนยังมีการเรียนพิเศษตอนเย็นอีก การอ่านหนังสือตอนกลางคืน ควรจะอ่านเท่าที่ร่างกายรับได้ พอเริ่มง่วงสัก 5 ทุ่มก็ควรเข้านอน แล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 3 ตี 4 ตี 5 แนะนำให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่ต้องตื่นไปสักครึ่งชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้มีเวลาเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก่อนสักพัก ถึงค่อยลุกไปล้างหน้าล้างตา มานั่งอ่าน ขอย้ำว่าควรทำให้ตัวเองตื่นเต็มที่ก่อนจะอ่าน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวก็หลับคาหนังสืออีกจนได้

 เวลาที่ไม่เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือเรียนเลย

            คือ ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จอิ่ม ๆ เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า... พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน หรือเปล่า เพราะช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่คนเรามีความง่วงนอน อ่านไปก็หลับ ยิ่งหนังสือเรียนด้วย และไม่ควรนอนอ่านหนังสือ โดยเฉพาะบนเตียง ขอบอกว่าหลับแน่ ๆ ไม่ใช่อ่านนิยายนี่ มันจะน่าติดตาม จนอยากอ่านให้จบ

            การอ่านหนังสือ ควรจะอ่านในสถานที่ที่สงบเงียบ และสมองของเราต้องพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด




                ผลกระทบของการพักผ่อนไม่เพียงพอ




5 ผลกระทบของการพักผ่อนไม่เพียงพอ



          ถึงเราจะอยากนอนหลับให้เต็มอิ่มแค่ไหน แต่บางครั้งการนอนพักผ่อนให้มากพอ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราทำได้ทุกวัน เพราะบางครั้งเราก็ต้องยุ่งกับการทำงานที่น่าปวดหัว หรือออกไปเที่ยวปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ้าง เลยทำให้เราไม่ได้นอนมากพออย่างที่ใจคิด ทั้งยังทำให้สุขภาพย่ำแย่ไปด้วย

          ดังนั้น กระปุกดอทคอมจึงได้นำอาการหลัก ๆ ที่คนมักจะเป็นกันหลังนอนพักผ่อนไม่พอมาบอกกล่าวให้ได้ทราบกัน พร้อมด้วยเคล็ดลับดี ๆ ในการดูแลตัวเอง เพื่อเป็นการทดแทนการพักผ่อนมาฝาก ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ลองไปอ่านกันเลยคร้าบ

          1. ภูมิคุ้มกันต่ำลง

          ช่วงที่คุณนอนไม่พอ รู้สึกมั้ยว่าคุณจะป่วยได้ง่ายกว่าเคย นั่นก็เพราะคุณมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงนั่นเอง ทางที่ดี คุณควรรับประทาน วิตามิน อี จากอาหารจำพวกถั่วและธัญพืช เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของตัวเอง เป็นการทดแทนส่วนที่ขาดหายไป คุณจะได้แข็งแรงพร้อมเผชิญวันใหม่ได้ทุกวัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทานมากจนเกินไปนัก เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซับ วิตามิน เอได้น้อยลงจนตาพร่ามัวได้เหมือนกัน แค่ทานทดแทนในช่วงที่คุณพักผ่อนไม่พอ ก็ใช้ได้แล้ว

          2. หิวมากขึ้นอีก

          รู้สึกไหมว่าวันไหนที่คุณนอนไม่พอ คุณจะรู้สึกหิวมากขึ้นอีก แถมยังหงุดหงิดโมโหหิวจนแทบจะพาลใส่เพื่อน ๆ เลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้เป็นเพราะเวลาที่คุณพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกหิวอย่าง เลปติน และ เกรลิน มากผิดปกติ คุณจึงต้องการอาหารที่มีโปรตีนมาก ๆ มาชดเชยความต้องการของร่างกาย ดังนั้น แค่ขนมปังชิ้นเล็ก ๆ คงไม่พอแน่ ๆ หันมาจัดหนักด้วยอาหารจานใหญ่ไปเลยน่าจะดีกว่า

          3. สมองทำงานไม่เต็มที่

          เวลาที่เรานอนไม่พอเราจะรู้สึกเซื่องซึม เฉื่อยชาไปทั้งวัน พลอยทำให้ทำงานผิด ๆ ถูก ๆ หรือเผลอทำอะไรซุ่มซ่ามไปโดยไม่รู้ตัว คุณจึงควรหาขนมขบเคี้ยวมาทานเรื่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่ควรเลือกทานขนมขบเคี้ยวที่มีแต่ผงชูรสและน้ำตาล เพราะจะทำให้คุณอ้วนขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว แต่ควรเลือกทานพวกถั่วที่ทำให้คุณเพลินได้ไม่แพ้กัน แต่มีพลังงานมากและไม่ทำให้น้ำหนักพุ่งพรวดจะดีกว่า

          4. ร่างกายฟื้นตัวได้ช้าลง

          ถ้าหากคุณต้องพักรักษาตัวหลังบาดจ็บ ควรพยายามนอนหลับพักผ่อนให้มาก ๆ เพราะร่างกายจะผลิตโกรทฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและทำให้ร่างกายเจริญเติบโตออกมาในช่วงเวลาที่เราหลับนี่แหละ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีเวลานอนมากพอ ก็ควรทานอาหารที่มีกรดอะมิโนมาก ๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตโกรทฮอร์โมนแทน ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

          5. ความต้องการทางเพศลดลง

          เวลาที่เรานอนพักผ่อนไม่มากพอ จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายสูญเสียความสมดุล จนทำให้ความต้องการทางเพศลดลงในที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณต้องการกระตุ้นความต้องการส่วนนี้ ควรหันมาทาน อะโวคาโด ที่มีวิตามินบี 6 ก่อนนอน เพื่อเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนเพศชายในตัวของคุณ





เทคนิคพิชิต  รักแรกเริ่ม
เทคนิคพิชิต "รักแรกเริ่ม"
มีความรักแล้ว ก็ควรที่จะดูแลรักษาความสัมพันธ์นั้นให้งอกงาม และยืดอายุความหหวานให้ยาวนานที่สุด เริ่มต้นดี ปลายทางก็ราบรื่น ถนอมความสัมพันธ์แรกเริ่ม โดยให้ความสำคัญกับการรู้จักเว้นวรรคบ้าง เรียนรู้เทคนิคพิชิตรักไปด้วย เพื่อรู้เท่าทันความรัก และรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างถูกวิธี

1. เลิกแสดงความเป็น “เจ้าข้าวเจ้าของ”

อย่างที่มักคุ้นชินกันบ่อย ๆ กับคำว่า ความรักไม่ใช่การได้ครอบครอง และก็การเป็นเจ้าของใครสักคน แต่มันคือ การที่เรามีคนที่สามารถแชร์ความรู้สึกกันได้ในระดับที่เกินกว่าเพื่อน ฉะนั้น ให้คุณสาว ๆ ระวังกับพฤติกรรมที่มักจะแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างชัดเจน ในช่วงระหว่างที่เพิ่งคบหากันใหม่ ๆ ควรระวังเป็นอย่างมาก อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น จะเป็นสัญญาณที่ดีที่สุด

2. ไม่ต้องโทรหากันบ่อยขนาดนั้นก็ได้

คบกันใหม่ ๆ ก็ย่อมคิดถึงกันมากเกินธรรมดา แต่ขอให้วางตัวนิดนึง อย่าแสดงให้เขาเห็นมากนักว่าเราอยากโทรหาเขามากแค่ไหน เพราะมันจะกลายเป็นความน่าเบื่อ โทรหาได้ แต่ให้ลดความถี่ลง ช่วงเวลาที่โทรหาก็สำคัญ ให้ดูนิดนึงว่าเป็นเวลางานหรือเปล่า ดึกไปไหม หรือเช้าเกินไปไหม ให้รักษาความพอดีเอาไว้ สิ่งนี้จะช่วยให้ชีวิตรักอยู่รอดและปลอดภัยด้วย

3. อย่ายอมให้ความเกรงใจทำลายความเป็นตัวคุณ

เพื่อความสบายใจในการคบกันอย่างเปิดเผยต่อไป ให้คิดเสมอว่าความเป็นตัวของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น หากคิดที่จะเรียนรู้กันและกันให้มาก และเกิดความสบายใจด้วยแล้ว ควรคบกันอย่างที่ตัวเองเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเองหรืออีกฝ่ายสู่สิ่งที่ไม่ใช่ เพราะเพียงแค่เกรงใจ หรือต้องการเอาใจอีกฝ่าย เพราะสิ่งนี้ไม่ถาวร คุณน่าจะรู้ดีที่สุด

4. เว้นพื้นที่ว่างไว้ให้กันบ้าง

คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวไว้ให้ตัวเองในยามมีปัญหา ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนรัก เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าพยายามก้าวล้ำอณาจักรของเขาให้มากเกินไป อย่างเช่น เข้าไปตีสนิทกับกลุ่มเพื่อนของเขาจนทำให้เขาไม่ไว้วางใจที่จะคุยกับเพื่อนในเรื่องบางเรื่อง แรก ๆ อาจจะเป็นการดีที่เราเข้ากับเพื่อนของเขาได้ แต่ภายหลังเมื่อเขาต้องการที่ปรึกษาปัญหาใจ หรือใด ๆ ที่เกี่ยวกับเรา เขาอาจจะรู้สึกอึดอัด และไม่กล้าระบายให้เพื่อนฟัง

5. รักษาสมดุล

เริ่มต้นยังไง ก็ขอให้รักษาสมดุลตรงนั้นไว้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการแต่งตัว หรือเรื่องการดูแลเอาใจใส่ถามไถ่ถึงครอบครัวเขา หากเราเริ่มต้นแบบแต่งตัวจัด ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ ไม่ใช่คบกันใหม่ ๆ ก็จัดหนัก พอคบกันไปสักพัก ก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้ดูโทรม ทางที่ดี เปิดเผยความเป็นตัวตนของคุณตั้งแต่ครั้งแรกดีที่สุด (ถึงมันจะยากไปนิดนึง) ส่วนเรื่องการถามไถ่ครอบครัวของเขานั้น ให้พยายามถามเขาบ้างเป็นบางครั้ง แต่อาจจะไม่ใช่ทุกวันก็ได้ เพื่อให้เขารู้ว่าเราให้ความสนใจในระดับหนึ่ง

6. อย่าทำตัวแบบขาดเขาไม่ได้

มีคนรู้ใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรามีเงาเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น อย่าพยายามทำตัวติดกันมากนัก หากิจกรรมที่ต้องทำแยกกับเขาบ้าง แสดงให้เขาเห็นบ้างว่าเราไม่ได้มีเวลาว่างเกาะติดเขาตลอดเวลาเป็นข่าวด่วน และเราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนที่เคยทำมา ไปดูหนังคนเดียว หรือกับเพื่อนกลุ่มอื่นได้ ไปซื้อของคนเดียวได้โดยไม่ต้องง้อเขาให้มาช่วยถือของ (ยกเว้นเขาอาสา) ทำเช่นนี้เป็นบางครั้ง บางคราว เพื่อเป็นการเว้นวรรค ให้กันและกัน
อย่าลืมนะคะว่า แม้จะเพิ่งคบกันใหม่ ๆ หรือคบกันได้สักพักแล้วก็ตาม การเอาใจใส่กันอย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นที่สิ่งควรเก็บรักษาไว้ และปฏิบัติให้ได้ตลอด เพราะถ้าเราคงมีสิ่งนี้ไม่ว่ารักไหน ๆ ของคุณก็จะราบรื่น และยาวนาน หากหมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ยให้กับต้นรักอย่างสม่ำเสมอ 



สี่ คำพูด เร้าอารมณ์ชาย





      …..เย้ายวนวาบหวาม คำพูดแบบไหนที่คุณสาวๆ ใช้กับชายหนุ่มของคุณ แล้วทำให้เขากลายเป็นลูกไก่ ในกำมือของคุณได้ และจะทำให้เขา หลงคุณหัวปักหัวปำ…
      ..ฉัน…ต้องการ…คุณ…เดี๋ยวนี้…โอ้ว !! เนี่ยแหละค่ะ 4 คำพูด ที่ชายหนุ่มเขาต้องการได้ยินจากปากของคุณ ไม่ต้องหว่านล้อม หรืออ้อมค้อมให้เสียเวลา แค่เขาได้ยินคำ 4 คำนี้แล้ว มันก็สามารถเร้าอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

       …..แน่นอนค่ะว่า มันอาจจะช็อคอารมณ์ของเขาอย่างรุนแรง แต่มันก็เร่าร้อนที่สุด ถ้าหากว่าคุณพูดและทำกับเขา คุณอาจจะพูดไปพร้อมๆ กับการรูดซิปกางเกงลง หรือาจจะผลักเขาลงบนเตียงอย่างดุเดือด เนี่ยแหละค่ะ จะเร้าอารมณ์ของเขาอย่างมากเลยล่ะค่ะ

     …..แต่ถ้าหากว่าคุณลองเปลี่ยนสถานที่ที่คุณจะพูดประโยคที่ว่านี้ เป็นสถานที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เตียงนอนดูล่ะก็ จะยิ่งเร้าอารมณ์เขามากกว่าเดิมอีกเป็นล้านเท่าเลย ลองดูสิคะ อย่างเช่น ฉัน…ต้องการ…คุณ…เดี๋ยวนี้…ในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านอาหารที่คุณกับเขา กำลังนั่งทานกันอยู่…

      …..คำพูดประโยคนั้น กับสถานที่ที่แตกต่าง ที่เขาไม่เคยได้ยินคุณพูด จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นความปรารถนาของเขาขึ้นมาทันที เวลาที่คนรักของคุณเจอกับพูดอีโรติก แบบไม่คาดคิด สมองของเขา จะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน และสารสื่อประสาทอย่าง นอร์เอฟรินและโดพามีน ที่ส่งผลต่ออารมณ์ของเขา ทำให้ร่างกายของเขาคึกคักมากยิ่งขึ้น

      …..อ๊ะอ๊ะ…อย่าเย้ายวนผิดเวลานะคะ เอาเฉพาะตอนที่คุณพร้อมและต้องการเขาจริงๆ ไม่ใช่ว่าคุณจะไปต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ แต่ดันไปพูดให้เขาเกิดความอยากแล้วคุณก็หนีเที่ยว ทิ้งเขาไปอย่างงั้น (พูดให้อยากแล้วเดินจาก…)

      …..เมื่อคุณเริ่ม คุณก็ต้องสานต่อให้จบ คำพูดที่คุณพูดกับเขาว่า ฉัน…ต้องการ…คุณ…เดี๋ยวนี้… มันจะเป็นตัวกำหนดว่า คุณจะเป้นฝ่ายคุมเกมส์ของเกมส์รักคืนนี้เอง ความปรารถนาของหนุ่มๆ เมื่อได้ยินคำพูดของคุณแล้ว สิ่งที่เขาต้องการอย่างต่อมานั่นก็คือ การอยู่ใต้คำสั่งบนเตียงของคุณ      …..ฉัน…ต้องการ…คุณ…เดี๋ยวนี้…คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียว ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่า คุณไม่ได้ต้องการเพียงแค่เซ็กส์ แต่คุณยังต้องการเขา คุณต้องการเขามากจนตัวสั่น จนต้องเรียกร้องหาเขา ไม่สามารถทนรอได้แม้แต่วินาทีเดียว เขาจะรู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะค่ะ




                    เคล็ดลับการทานอาหารใต้แสงเทียน







เคล็ดลับการทานอาหารใต้แสงเทียน  
สำหรับใครคนไหน ที่มีความต้องการ สร้างความโรแมนติก ให้แก่คู่รักของตนเอง ด้วยการสร้างบรรยากาศ ในการรับประทานอาหาร ให้น่านั่งรับประทานอาหาร เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แต่การรับประทานอาหาร ด้วยการจุดเทียน เพื่อช่วยให้แสงสว่าง ที่นวลนั้น เราอาจจะเจอกับปัญหา ของควันที่มาจากการจุดเทียน ที่มาช่วยให้แสงสว่าง เพื่อช่วยในการ สร้างบรรยากาศ ที่สุดแสนจะประทับใจ มากอีกด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่มีต้องการ สร้างบรรยากาศ ให้กับคนรัก ของตนเองนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจะแนะนำวิธีการ ในการจัดการปัญหา เรื่องของควันไฟ ที่มาจากเทียน ที่เรานำมาใช้ในการ เพิ่มแสงสว่าง
ซึ่งหลาย ๆ คน คงชื่นชอบ ในการรับประทานอาหารค่ำ ใต้แสงเทียน เพื่อสร้างความโรแมนติก มากขึ้นกว่าเดิม แต่บางครั้งกลิ่น และควันเทียน ก็มักจะเข้ามา ทำให้เสียบรรยากาศได้เหมือนกัน โดยเฉพาะ ถ้าหากว่าห้องอาหาร ของเรานั้นมีพื้นที่ น้อยมาก ไม่เพียงพอ ในการระบายอากาศออกไป จึงกลายเป็นว่า เราต้องสูดเอาควันไฟ เข้าไปในช่วงที่ รับประทานอาหาร เข้าไปภายในร่างกาย ของเรา
ซึ่งวิธีการ ที่จะทำให้ เปลวเทียนสว่างนิ่ง และที่สำคัญ ไม่มีกลิ่น และควัน เกิดขึ้นมา ที่จะให้เสียบรรยากาศ มากไปกว่าเดิมนั้น เราสามารถจัดการปัญหา นี้ไปได้ ด้วย วิธีการที่ง่าย ที่จะมาช่วยในการ จัดการปัญหานั้น ให้หายไป
เพียงแค่เรา นำเทียน ที่จะใช้ ในการจุดนั้น นำไปแช่ตู้เย็น เอาไว้หลาย ๆ ชั่วโมง ก่อนที่เราจะนำมาจุด เพื่อสร้างบรรยากาศ ด้วยวิธีการนี้ จะช่วยในการจัดการปัญหา ของการเกิดควัน ให้หายไปได้ อย่างแน่นอน
ด้วยวิธีการ ในการจัดการปัญหา เรื่องของการเกิดควัน  ที่มาจากเทียน ที่เรานำมาใช้ในการจุด เพื่อเพิ่มแสงสว่าง เพื่อจะได้รับประทานอาหาร ใต้แสงเทียน ที่ไร้ควัน มากวนใจ เพื่อให้เราสามารถรับประทานอาหาร ได้อย่างมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม แล้วล่




วิธีทําให้ผิวขาว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
         
          ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

          
อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู  12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 

            1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           
 2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           
 4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           
 5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           
 6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           
 7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           
 9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           
 10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           
 11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           
 12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม 

           
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา


 


 
อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา

 
อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผามีน้ำตกให้เที่ยวหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่เส้นทางยังไม่สะดวกนัก เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างพัฒนาพื้นที่ น้ำตกที่เดินทางเข้าถึงสะดวกที่สุดคือ น้ำตกห้วยทรายขาว ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีแอ่งน้ำให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำได้แต่ในช่วงฤดูแล้งน้ำจะน้อยมาก จะมีน้ำเยอะช่วงเดือนพฤษภาคมแต่น้ำจะขุ่น น้ำจะใสช่วงหลังฝน ชั้นบนของน้ำตกเป็นแอ่งน้ำและมีทรายอยู่เนื่องจากน้ำพัดเอาทรายมาจากการกัด กร่อนของหินทราย ชั้นบน อากาศบริเวณน้ำตกชื้นจนทำให้มีมอสจับอยู่


แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆในอุทยานฯ ได้แก่ น้ำตกแม่ฝางหลวง น้ำตกดอยเวียงผา น้ำตกห้วยหาน และจุดชมวิวดอยเวียงผา อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผามีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 583 ตารางกิโลเมตร สภาพป่าในพื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นป่าดิบเขาและป่าเบญจพรรณ นอกจากนี้ยังมีป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าสนเขา นกที่พบ เช่น นกกินปลี และนกพญาไฟ สัตว์ป่าที่พบส่วนใหญ่จะเป็นขนาดกลางและสัตว์ขนาดเล็ก ได้แก่ กระรอก กระต่าย หมูป่า อีเห็น เก้ง เลียงผา เสือไฟ เม่น หมีควาย เป็นต้น


ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก อุทยานมีบริการบ้านพัก 2 หลัง โดยติดต่อที่อุทยานโดยตรง

การเดินทาง จากเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 ไปประมาณ 125 กิโลเมตร อยู่ก่อนถึงตัวเมืองไชยปราการประมาณ 2 กิโลเมตร ให้สังเกต โรงเรียนศรีดงเย็นทางด้านซ้ายมือ ทางเข้าอุทยานอยู่ฝั่งตรงข้าม (ด้านขวามือ) เข้าไปประมาณ 12 กิโลเมตร


วิธีดูแลผิวแบบสาวเกาหลี ง่ายๆคุณเองก็ทำได้



เดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรก็กลายเป็นเทรนด์ เกาหลีไปเสียหมด โดยเฉพาะสวยแบบสาวเกาหลี ที่สาวไทยเองก็อยากจะสวยเหมือนเธอ หากไม่นับเรื่องสวยด้วยมีดหมอ(ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก) ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าสาวเกาหลีนั้นผิวพรรณเขาดีจริง ๆ ผิวดีหน้าใสแบบนี้ก็เท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่ง สาวเกาหลีเขาจะมีเคล็ดลับในการดูแลผิวหน้าอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ


จียอน




ไม่ล้างหน้าแบบถูขึ้น-ลง
          การล้างหน้าที่เราทำกันจนคุ้นเคย คือการใช้มือถูใบหน้าในแนวขึ้น-ลง ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้กล้ามเนื้อผิวหน้าเสียความกระชับ ทำให้ให้ผิวเหี่ยว และดูคล้อยได้ง่าย ลองเปลี่ยนมาถูหน้าเบา ๆ ในทิศทางจากคางขึ้นไปหาหน้าผาก และในทิศปัดออกจากใบหน้าแทนการถูกขึ้นลง จะช่วยชะลอการหย่อนคล้อยของผิวได้แน่นอนค่ะ

ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขาวใส
          ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวขาวใสหรือครีมบำรุงผิวตระกูลไวท์เทนนิ่งทั้งหลาย เป็นเครื่องประทินผิวที่ขาดไม่ได้สำหรับสาวเกาหลี เพื่อบำรุงผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดให้กลับมาสดใสเช่นเดิม แถมยังมีผลิตภัณฑ์ในไลน์บำรุงผิวขาวให้เลือกใช้อีกหลายประเภทด้วย

ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
          สาว เกาหลีไม่เคยละเลยกฏเหล็กแห่งการถนอมผิวข้อนี้  ครีมกันแดดเป็นครีมตัวแรกที่เธอจะต้องใช้ก่อนการแต่งหน้าทุกครั้ง นอกจากนี้สาว ๆ เกาหลียังใช้ครีมกันแดดกันตั้งแต่เพิ่งจะเป็นเด็กสาวเลยด้วยซ้ำ เรื่องการป้องกันผิวนี้ยิ่งทำเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งรักษาสภาพผิวให้สวยใสได้มาก เท่านั้น

ใส่ใจการบำรุงผิว แม้มีขั้นตอนยิบย่อยมากมาย

        หาก จะนับกันจริง ๆ ในทุก ๆ วัน สาวเกาหลีใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผิวไม่ต่ำกว่า 10 ตัว อย่างในตอนเช้านี่ก็มีผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้า ตามมาด้วยโทนเนอร์ อีมัลชั่น เอสเซ้นส์ ครีมบำรุงผิว ยังไม่นับที่บำรุงผิวเฉพาะจุด อย่างอายครีม หรือสำหรับลบเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำ ฯลฯ แม้จะเป็นขั้นตอนที่ดูยุ่งยาก และต้องใช้เวลา แต่ผลลัพท์ที่ได้มากับผิวสวย ๆ ของพวกเธอ ก็นับว่าคุ้มค่าสมกับความเอาใจใส่ในขั้นตอนยิบย่อยเหล่านั้นของพวกเธอจริง ๆ
          นอก จากจะมีขั้นตอนการบำรุงผิวที่มากมายแล้ว ขั้นตอนการแต่งหน้าของเธอ สาวเกาหลีก็เอาใจใส่ในรายละเอียดมากมายไม่แตกต่างกัน ตั้งแต่ลงไพรม์เมอร์ และเมคอัพเบส ตามด้วยครีมรองพื้นห รือบีบีครีมอันเลื่องชื่อของเกาหลี จากนั้นก็พรางจุดบกพร่องที่ต้องการปกปิดด้วยคอนซีลเลอร์ หลังจากเตรียมผิวในขั้นตอนนี้เสร็จเรียบร้อย ก็ต่อด้วยการลงไฮไลท์เตอร์ เพื่อเน้นส่วนใบหน้าที่ต้องการเพิ่มความโดดเด่น แต่งคิ้วให้ได้ทรงสวยด้วยดินสอเขียนคิ้ว หรือเจล จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการใช้อายแชโดว์ อายไลน์เนอร์ มาสคาร่า ลิปสติก ลิปกลอส และบลัชออน เป็นอันเสร็จสิ้นการแต่งหน้าในหนึ่งวัน ถึงขั้นตอนจะดูเยอะแยะมากมาย แต่การเอาใจใส่แต่ละขั้นตอนอย่างพิถีพิถันนี่เองค่ะ ที่ทำให้สาวเกาหลีสวยเป๊ะจนราอิจฉานั่นเอง
          สำหรับสาวไทยอย่างเราก็ลองนำวิธีดูแลผิวหน้าเหล่านี้ของสาวเกาหลีไปใช้ดูบ้าง รับรองว่าสาวไทยก็สวยไม่แพ้สาวเกาหลีแน่นอนเลยจ้า ;)

วิธีดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี




วิธีดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี

            1. เลือกอาหาร โดยวัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในนมถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ๆ ทอด ๆ จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน

           2. ออกกำลังกาย  หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อย ๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักขึ้น จนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุดเพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว

           3. สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์  จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้

           4. หลีกเลี่ยงอบายมุข  ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรมต่าง ๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้

           5. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ  โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและโรคที่เป็นอยู่ส่งเสริมสุขภาพให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการหกล้ม

           6. ควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว ลดปัญหาการหกล้ม และความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น


วิธีดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี

           1. เลือกอาหาร โดยวัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในนมถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ๆ ทอด ๆ จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน

           2. ออกกำลังกาย  หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อย ๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักขึ้น จนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุดเพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว